นาธาน โรธชายด์ จาก ธนาคารประจำสหราชอาณาจักรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เคยกล่าวไว้ว่า ทองนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอ ในขณะเดียวกันตัวแทนอันน่าเคารพยิ่งจากสถาบันชุมชนการเงินด้านต่างๆ ได้พยายามรวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับทองคำ แต่จะมีเพียงแค่ตระกูลโรธชายด์เท่านั้นที่เป็นผู้สรุปและตัดสินใจ จากนั้นบทสนาทนาและอภิปรายต่างๆที่เกี่ยวกับทองคำกลับกลายเป็นการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในที่ประชุม
ซึ่งในที่ประชุมบางคนได้กล่าวว่าทองคำเป็นวัสดุที่ไม่ได้เหมาะแก่การทำเครื่องประดับของผู้หญิงเพียวอย่างเดียว การลงทุนในทอง ที่ไม่ได้ต่างอะไรกับ “เศษฝุ่น” ซึ่งจะไม่มีค่า และยังเป็นการค้ากำไรเกินควร อีกทั้งสร้างความเสี่ยงให้แก่ผู้ครอบครองอีกด้วย ทางด้านผู้ไม่เห็นด้วยในที่ประชุมได้ตอบโต้กลับอย่างทันทีว่า ทองเป็นอำนาจอย่างเดียวที่สามารถช่วยปกป้องเราจากคนร่ำรวยที่ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ
และนี้เป็นแค่เบื้องหลังบางส่วนของทั้งสองฝ่ายที่ต่างให้เหตุผลต่างกันไป เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ในวันที่ 2 เมษายน 2544 ราคาทองคำในตลาดได้ล่วงตกลงไปที่ 255.30$ หลังจากนั้น ราคาทองคำกอยู่ในเกณฑ์ที่สูงขึ้น ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่าน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสินทรัพย์อันใดในตลาดการเงินที่จะมีแนวโน้มและพฤติกรรมแบบนี้
ในปี 2554 ราคาทองได้มีการล่วงหยุดอยู่ที่ $1,900 และดูเหมือนจุดกำหนดของราคาที่สามารถเข้าถึงได้ จะอยู่ที่ $2,000 ในอีกไม่กี่เดือนช้างหน้า แต่แล้วราคาทองคำก็ได้ล่วงตกลงมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คนที่มองโลกในแง่ดีก็จะเรียกสิ่งนี้ว่า การแก้ไขความผิดพลาด ขณะเดียวกันคนที่คิดต่าง ก็จะมองว่า มันถึงเวลาที่ราคาทองคำจะกลับเพิ่มสูงอีกครั้ง ทุกวันนี้ ราคาทองคำจะอยู่ที่อัตรเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา Doomsayer กำลังมองอย่าพึ่งพอใจว่านี้ไม่ใช่จุดจบของการเริ่มต้น ความยากที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทได้ขนาดนามทองคำว่าเป็นโลหะที่มีค่า และเรียกว่า "หินที่สามารถพูดได้" ในหัวข้อที่ถูกเขียนว่า การที่ทองคำจะเป็นทองคำอย่างแท้จริง (หินสะสม) ซึ่งบทความพยายามที่จะโน้มน้าวผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของทองคำ ซึ่งถ้ามองตามความเป็นจริง เป็นการหยุดการหลบหลีก และ การปกป้องด้านเงินเฟ้อ ผู้เขียนได้ถามว่า “แล้วทำไมกรีซยังคงผิดสัญญาชำระหนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินยูโรตกยิ่งกว่าค่าเงินดอลลาร์ และตลาดหุ้นของจีนได้มีการชะลอและสะดุด ซึ่งเปรียบได้กับการมีทองคำเหมือนมีหินสะสม ผู้คนมากมายอาจจะหาซื้อทองคำสำหรับเหตุผลที่ผิดๆ”
หัวข้อหนึ่งในวอล์ชิงตันโพสได้พูดถึงเกี่ยวกับทองคำไว้ว่า “ทองคำคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว บลูมเบิร์กำได้เล็งเห็นว่าราคาทองคำอาจมีการผันตัวลง โดยอ้างถึงบทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก ในต้นปี 2016 ราคาทองคำจะตกลงมาอยู่ที่ $984 และนี้จะกลายเป็นการตกครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 6 ปี โรบิน บาห์ นักวิเคราะห์ประจำสถาบัน Societe Generale SA ในลอนดอน กล่าวว่า ทองคำไม่ได้รับความนิยม เปรียบเหมือนกับกางเกงขาบานที่ไม่มีคนนิยมใส่กัน ราคาทองคำจะไม่พังทลายลงมา แต่จะค่อยๆลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำในอนาคตอันใกล้นี้”
และยังมีทัศนคติที่ถูกแชร์ร่วมกันจากนายไบรอัน บาริช ประธานกลุ่มนักลงทุน แคมเบลีย LLC กล่าวว่า “ทองคำไม่ใช่สินค้าที่เป็นที่ต้องการในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม และผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันหลงไหลจิววลี่ แต่ทองคำก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสินแร่ น้ำมัน ผลผลิตทางการเกษตร และมันไม่ได้เป็นสิ่งเฉพาะเจาะจงสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน”
ราคาทองคำในอัตรา $984 ถือได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างต่ำ แต่ไม่ได้อยู่ในจุดที่ต่ำในระยะยาว ในหัวข้อของมาร์เกตวอทช์ คลอดีย์ เอิร์บ อดีตผู้จัดการในเครือโภคภัณฑ์ที่ ทีซีดับเบิลยู กรุ๊ป กล่าวว่า ณ ปัจจุบัน มูลค่าราคาทองคำอยู่ที่ $825 แต่ “เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาทองคำตกลงไปอยู่ในจุดสมดุลยภาพ นั้นหมายความว่าราคาทองคำจะยิ่งดิ่งลงต่ำ ตามการวิเคราะห์ของเขา ถ้าราคาทองคำผันผวนลงต่ำกว่าจุดสมดุล เหมือนกับในกลางปี 1970 และปี 1990 ซึ่งตกลงไปที่ $350 การวิเคราะห์นี้อาจจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าตามที่เอิร์บและอาจารย์แคมป์เบล ฮาร์เวย์ จากมหาวิทยายัลดุกร์ ได้คาดคะเนไว้ตลาดทองคำจะเริ่มต้นอยู่ในจุดคงทนในระยะยาว
ในระยะยาวท่าทีการสนับสนุนราคาทองคำจะมีการต่อสู้การอย่างดุเดือด โดยปกติแล้ว การแข่งขันต่างๆจะมีผู้สมทบและเสนอมุมมองต่างๆกันไป เช่นเดียวกับ นายเจฟฟี่ กันด์แลช ประธานบริหารและเจ้าหน้าที่การลงทุนที่ดับเลิบไลน์ แคพพลิทอล ได้ให้ความเห็นว่า ราคาทองคำสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ที่ $1,400 ในความคิดเห็นของขา หนึงในเหตุผลนั้นมาจากผลตอบแทนเชิงลบในพันธบัตรยูโร ซึ่งสามารถเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงสภาวะเงินผืดและทำให้ราคาทองคำเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น และนายเจฟฟี่ นิโคลัส ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเศรษฐกิจของโรสแลนด์ ได้เห็นด้วยกับนายกันด์แลชว่า
ถึงแม้ว่าแรงกระตุ้นในราคาทองคำจะมีสภาวะชะลอตัวลง แต่เขาก็เชื่อว่าราคาทองคำจะกลับมาทะยานขึ้นในที่สุด นิโคลัสกล่าวว่า มันเป็นเรื่องของเวลาก่อนหน้านี้ที่ราคาทองคำมีการผันผวน ราคาทองคำควรจะกลับขึ้นมาไต่ระดับสูงขึ้นในอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า ตามความต้องการในเชิงรูปธรรมของตลาดเกิดใหม่”
นายไมเคิล คัจก์จิโน ประธานและผู้จัดการการลงทุนของกลุ่มบริษัท พอร์ทโฟลิโอ แฟมิลี่ ออฟ ฟันด์ เห็นพ้องว่า “ราคาทองคำจะเป็นที่น่าพึ่งพอใจ ทั้งในประเทศรัสเซีย จีน อินเดีย และธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ที่กำลังมองหาความหลากหลายในการลงทุนทางสินทรัพย์ของพวกเขา” นายคัจก์จิโนยังยอมรับว่าราคาทองคำยังคงผันผวนพอสมควรในอนาคตอันใกล้นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็ได้เลือกลงทุนในทองคำประมาณ 20% เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาด
นายชินตัน คาร์นานิ นักวิเคาระห์การตลาดประจำอินไซเนีย คอนเซาท์แทนซ์ คือผู้หนึ่งทีมั่นใจและตั้งความหวังเกี่ยวกับ “ราคาทองคำในอนาคต ว่าการผันผวนของราคาทองคำจะหมุนไปรอบๆตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2016 ซึ่งราคาจะแตะอยู่ที่ $1,700 หรือสูงกว่านั้นในช่วงเดือนมิถุนายนและพฤศจิกายน ปี 2016 จนทำให้นักลงทุนในทองคำสามารถอดทนต่อการผันผวนเกี่ยวกับราคาทองและไม่กังวลใดๆกับราคาทองคำที่อาจจะตก”
คำถามที่ทุกคนต่างพากันถามคือ ราคาทองคำจะผันผวนไปที่จุดใด จอห์น กอร์ดอน นักวิเคราะห์ชั้นนำจากสถาบันโบรกเกอร์นานาชาติของ NordFX กล่าวว่า "หากมองตามที่ฉันเห็น มันคือความผิดพลาดถ้าเรามานั่งคาดคะแนหรือวิเคราะห์บนพื้นฐานในปัจจัยแค่ไม่กี่ตัว ถึงแม้ว่าปัจจัยตัวนั้นจะเป็นตัวสำคัญก็ตาม ประสบการณ์จะเป็นตัวชี้ให้แล้วว่าในความเป็นจริงค่อนข้างซับซ้อนและทองคำก็เช่นกัน"
"ซึ่งผมจะชี้ให้เห็นถึง 7 ปัจจัยทั่วโลกที่ส่งผลในเรื่องความผันผวนของราคาทองคำ 1. อัตรเงินเฟ้อ 2.ดอกเบี้ย 3.สถานการณ์ของตลาดหุ้น 4.แนวโน้มทางการเมือง 5.ความผันพวนของค่าเงินดอลล่าห์ 6.ราคาน้ำมัน และ 7.ความต้องการทองคำในเอเชีย
การเปลี่ยนแปลงในแต่ละปัจจัยสามารถทำให้จุดสมดุลของระบบแปรผันไปด้วย ซึ่งจะเป็นตัวส่งผลให้กับปริมาณ ทิศทาง และแนวโน้ม มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ดังนั้น ผมอยากแนะนำนักลงทุนให้กระจายความเสี่ยงและลงทุนในหุ้นของเหมืองทองคำ ให้เป็นไปตามการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่มีความยืดหยุ่นพอสมควร"
สุดท้ายนี้ ในอีกมุมของ นายอาร์วี กิลเบิร์ต สมาชิกกรรมการผู้จัดการของ กิลเบิร์ต ไฟแนนเชี่ยว เซอร์วิส แอลแอลซี และนักวิเคราะห์ แอลลิออท เวฟ กล่าวอ้างว่า สิ่งที่สามารถเห็นได้ในอนาคต คือทองคำจะพุ่งสูงขึ้นไปที่ $25,000 ต่อ 1 ออนซ์ นายกิลเบิร์ต ได้เขียนไว้ว่า "ผมเคยยู่ในเหตุการณ์แบนี้ก่อนหน้าคุณ และรู้สึกว่า เอลลิออท กำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในปี 1941 และนี้คือปี 2015 ซึ่งผมกำลังเห็น การแก้ไขอย่างสมบูรณ์แบบ ถึงแม้มันจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นในตลาดหุ้นที่ราคาสามารถพุ่งสูงขึ้นได้ และสามารถคงอยู่ในอีก 50 ปีข้างหน้า" "และแน่นอนผมรู้ว่านี้คือการคาดเดาที่ชัดเจนและกล้าหาญ แต่อย่างไรก็ตาม ได้โปรดจำไว้ว่า สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องของตัวเลขและไม่มีอะไรมากไปกว่านี้"
อะไรคือการคาดการณ์ที่ถูกต้องระหว่างความหวังในอนาคต หรือ การชะลอของตลาด เวลาเท่านั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นได้ใน 'อีก' 50 ปีข้างหน้า นั้นหมายความว่า จะต้องอดทนรอ เพราะทั้งหมดนี้มันเป็นแค่ธุรกิจและไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
กลับ กลับ